การซื้อประกันภัยไม่เพียงแต่จะเป็นการคุ้มครองชีวิตและสุขภาพ แต่ยังเป็นวิธีการที่ช่วยลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย การยื่นภาษีประจำปีเป็นหน้าที่ที่มีผู้มีเงินได้ทุกคนต้องทำ ต่อให้มีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์การเสียภาษีที่กรมสรรพากรกำหนดไว้ก็ต้องยื่นภาษี ซึ่งการจ่ายภาษีมีค่าลดหย่อนหลายประเภท
การลดหย่อนภาษีเป็นสิทธิประโยชน์ที่หลายคนอยากใช้ให้เต็มที่ โดยเฉพาะเมื่อถึงเวลาจะต้องยื่นภาษีประจำปี ซึ่งหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้คุณลดหย่อนภาษีได้คือการทำ ประกันชีวิต หรือ ประกันสุขภาพ ที่ได้รับการรับรองจากกรมสรรพากร แต่หลายคนอาจยังสงสัยว่า ประกันประเภทไหน ที่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้บ้าง? แต่ก่อนอื่นเราไปรู้จักกันก่อนดีกว่าว่าการลดหย่อนภาษีคืออะไร?

ค่าลดหย่อนภาษี คืออะไร?
ค่าลดหย่อนภาษี คือ จำนวนเงินที่สามารถหักออกจากรายได้ที่ต้องเสียภาษีได้ ซึ่งทำให้ภาษีที่ต้องจ่ายในปีนั้นลดลง โดยจะช่วยให้ผู้เสียภาษีจ่ายภาษีในจำนวนที่น้อยลงหรือได้รับการคืนภาษีจากรัฐ การหักลดหย่อนภาษีถือเป็นสิทธิประโยชน์ที่รัฐให้กับผู้เสียภาษี เพื่อเป็นการบรรเทาภาระในการจ่ายภาษี โดยค่าลดหย่อนนี้จะมีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับสภาพการเงินหรือสถานะของแต่ละบุคคล

ประเภทของประกัน
ประเภทของประกันสุขภาพ | ลดหย่อนได้ตามจริง* | เงื่อนไขในการใช้ค่าลดหย่อน |
ประกันสุขภาพของตนเอง | สูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท | รวมกับประกันชีวิตต้องไม่เกิน 100,000 บาท |
ประกันสุขภาพของพ่อแม่ | สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท | รวมกับประกันชีวิตต้องไม่เกิน 100,000 บาท |
ประกันชีวิตของตนเอง | สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท |
|
ประกันชีวิตคู่สมรส | สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท |
|
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : กรมสรรพภากร
ประเภทของค่าลดหย่อนภาษี
การลดหย่อนภาษีสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท ตามสถานการณ์ต่าง ๆ ของผู้เสียภาษี ซึ่งแต่ละประเภทจะมีข้อกำหนดและเงื่อนไขที่ต่างกันไป
1. ค่าลดหย่อนส่วนบุคคล
- ค่าลดหย่อนส่วนบุคคล คือ การหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับตัวบุคคลเอง เช่น ค่าลดหย่อนสำหรับผู้มีรายได้น้อย, อายุ 65 ปีขึ้นไป, หรือคนพิการ ซึ่งจะช่วยให้ผู้เสียภาษีที่อยู่ในกลุ่มนี้สามารถลดภาษีที่ต้องจ่ายได้
ตัวอย่าง:
- ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 60,000 บาท
- คนพิการสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 60,000 บาท
2. ค่าลดหย่อนสำหรับคู่สมรสและบุตร
- หากคุณมีภรรยา, สามี, หรือบุตรที่ยังไม่ได้ทำงานหรือยังไม่เป็นผู้มีรายได้ สามารถหักลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนที่กำหนด
- หากคู่สมรสไม่มีรายได้หรือมีรายได้น้อย, การหักลดหย่อนนี้จะทำให้ภาระภาษีของคุณเบาลง
- บุตร: สามารถหักได้ไม่เกิน 30,000 บาท ต่อบุตร 1 คน (ขึ้นอยู่กับอายุและสถานะของบุตร)
ตัวอย่าง:
- คู่สมรสที่ไม่ได้ทำงานหรือมีรายได้น้อยสามารถลดหย่อนภาษีได้ 60,000 บาท
- บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะและยังเรียนอยู่สามารถหักลดหย่อนได้ 30,000 บาท
3. ค่าลดหย่อนจากการลงทุน (ประกันชีวิต, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ)
- ประกันชีวิต, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนการศึกษาสามารถหักลดหย่อนภาษีได้
- ประกันชีวิต: สามารถหักเบี้ยประกันชีวิตได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท
- กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ: หักได้สูงสุด 500,000 บาท หรือหักได้ตามจำนวนที่คุณฝากไว้
- กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF): สามารถหักลดหย่อนได้ตามจำนวนที่คุณลงทุน แต่ไม่เกิน 500,000 บาท
4. ค่าลดหย่อนจากการบริจาค
- การบริจาคให้กับมูลนิธิหรือองค์กรที่ได้รับการรับรองจากรัฐสามารถหักลดหย่อนภาษีได้ โดยสามารถหักได้ไม่เกิน 10% ของรายได้
ตัวอย่าง:
- หากคุณบริจาคให้กับองค์กรการกุศลหรือมูลนิธิต่าง ๆ สามารถหักเป็นค่าลดหย่อนภาษีได้ตามยอดบริจาค
5. ค่าลดหย่อนจากการใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา
- หากคุณมีค่าใช้จ่ายในการศึกษา เช่น ค่าเล่าเรียนของบุตรที่ยังเรียนอยู่ ก็สามารถหักลดหย่อนได้
- จำนวนเงินที่สามารถหักได้จะขึ้นอยู่กับจำนวนบุตรที่ยังศึกษาอยู่ในระดับที่กำหนด
ตัวอย่าง:
- ค่าเล่าเรียนของบุตรสามารถหักลดหย่อนได้ไม่เกิน 15,000 บาท
ขับรถให้ปลอดภัย เมื่อต้องเข้าใกล้รถบรรทุก! อ่านเพิ่มเติมคลิก!
ประโยชน์ของการใช้ค่าลดหย่อนภาษี
- ลดภาระภาษีที่ต้องจ่าย: การหักลดหย่อนภาษีช่วยให้คุณสามารถจ่ายภาษีในจำนวนที่น้อยลงหรือได้รับเงินคืนจากรัฐ
- เพิ่มโอกาสในการประหยัดเงิน: โดยการใช้สิทธิ์ในการหักลดหย่อนที่เหมาะสม ทำให้คุณสามารถประหยัดเงินในกระเป๋าได้มากขึ้น
- ช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงิน: การลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือประกันชีวิตไม่เพียงแต่ช่วยลดภาษี แต่ยังช่วยให้คุณเตรียมความพร้อมในด้านการเงินในอนาคต
สรุป
ค่าลดหย่อนภาษีคือเครื่องมือที่ช่วยให้คุณลดภาระภาษีที่ต้องจ่ายในแต่ละปี โดยมีหลายประเภทที่สามารถเลือกใช้ได้ เช่น การหักค่าลดหย่อนส่วนบุคคล, การหักค่าลดหย่อนจากการลงทุน, การหักค่าลดหย่อนจากการบริจาค, และการหักค่าลดหย่อนจากค่าเล่าเรียน ซึ่งการใช้ค่าลดหย่อนภาษีอย่างถูกต้องสามารถช่วยให้คุณประหยัดภาษีได้มากขึ้น และเพิ่มโอกาสในการจัดการเงินให้ดียิ่งขึ้นในระยะยาว!
สำหรับใครที่ยังไม่มี ประกันภัยรถยนต์ หรือไม่รู้ว่าจะทำที่ไหนดี สามารถทำได้ที่ ยิ้มได้ ประกันภัย เพียงโทร 02-432-2345 หรือ ซื้อประกันภัยรถยนต์ผ่าน www.yimdaiinsurance.com เพื่อให้คุณได้ประกันภัยที่เหมาะสมและคุ้มค่ากับความคุ้มครองดีที่สุด
